วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บทที่ 1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญของปัญหา
" ความรุนแรง " เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งต่อร่างกายและจิตใจของผู้ถูกกระทำ และคนที่อยู่รอบข้าง  ดังที่มีตัวอย่างให้พบเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ทุกวัน เช่น กรณีพ่อทุบตีแม่  เด็กก็อาจจะถูกทุบตีไปด้วย เด็กที่ถูกทุบตี ทำร้าย หรือได้เห็นความรุนแรงเสมอ ๆ จะฝังใจเรื่องความรุนแรง  เด็กจะเข้าใจผิดว่า  ปัญหาแก้ไขได้ด้วยความรุนแรง  ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ปัญหาทุกปัญหาควรแก้ไขด้วยเหตุผล  ด้วยการพูดจาทำความเข้าใจ  นอกจากนี้ การอยู่ในภาวะแวดล้อมที่มีความรุนแรงเด็กจะซึมซับเลียนแบบพฤติกรรมรุนแรงโดยไม่รู้ตัว  เด็กจะกระทำความรุนแรงต่อเพื่อน  และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะกระทำรุนแรงต่อครอบครัวตนเอง  ต่อสัตว์เลี้ยงของตนเอง
วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า

1.              เพื่อศึกษาต้นเหตุของการทะเลาะวิวาทในครอบครัว
2.              เพื่อหาวิธีแก้ไขที่ถูกต้องและตรงจุด
3.              เพื่อลดปัญหาทะเลาะวิวาทในครอบครัว

ขอบเขตการศึกษาค้นคว้า
1.              ด้านเนื้อหา
- ศึกษาเกี่ยวกับที่มาของปัญหาทะเลาะวิวาทในครอบครัว
- ศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุหลักที่ทำให้พ่อแม่ขัดแย้งกัน
- ศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายที่กี่ยวกับความรุนแรง
     
2.  ด้านสถานที่
            - สถานที่ที่ศึกษาค้นคว้าส่วนมากคือ โรงเรียน บดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี) ๒ โดยศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ตที่ห้องสมุด
                -ศึกษาที่บ้านเพิ่มเติม
    3. ด้านเวลา
           - ระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้า ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.             ผู้ศึกษามีความรู้เกี่ยวกับปัญหาทะเลาะวิวาทในครอบครัวมากขึ้น
2.              ประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับปัญหาทะเลาะวิวาทในครอบครัวมากขึ้น
3.             หยุดการทำร้ายร่างกายคนในครอบครัว และเข้าใจถึงผลที่ตามมา

บทที่ 2
เอกสารและการค้นคว้าที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาเรื่อง การทะเลาะวิวาทในครอบครัว
คณะผู้จัดทำได้ทำการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลจากเอกสารต่างๆที่เกี่ยวกับการทะเลาะวิวาทในครอบครัว ซึ่งจะนำเสนอดังนี้
1.             ที่มาของความรุนแรง
2.             ความสำคัญของปัญหาทะเลาะวิวาท
3.             ปัญหาหลักของความขัดแย้ง
4.             สาเหตุของปัญหาทะเลาะวิวาทในครอบครัว
-ลักษณะของพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงในครอบครัว
-ผู้ชายที่เข้าข่ายมีพฤติกรรมรุนแรง
5.             ผลกระทบของความรุนแรงในครอบครัว
6.             .การช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหา
-ทำไมผู้หญิงยังคงอดทนต่อการถูกทำร้าย?
-อุปสรรคของการหลีกหนีความรุนแรงในครอบครัว
-สิ่งที่ปฏิบัติกันสืบทอดกันมา
-อุปสรรคที่ขวางกั้นและเกี่ยวเนื่องกัน
7.   กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงในครอบครัว
8.   หน่วยงานที่มีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาครอบครัว
9.   แนวทางในการป้องกันและแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
1.ที่มาของความรุนแรง(violence)
ปัญหาพ่อแม่ทะเลาะกัน (Parental Conflict Problems) หมายถึง ปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างพ่อกับแม่ มีขอบเขตตั้งแต่การโต้เถียงกันด้วยคำสบประมาท การทะเลาะเบาะแว้ง ไปจนถึงการใช้ความรุนแรงในครอบครัว (Domestic Violence) ซึ่งหมายถึง เหตุการณ์อันเกิดจากพฤติกรรมการข่มขู่ (intimidate) ก้าวร้าว (aggressive) และทารุณ(maltreat) ระหว่างพ่อแม่หรือสมาชิกในครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความหมายดังกล่าวไม่ได้รวมถึงความเสียหายข้างเคียงที่บ่อนทำลายเด็กซึ่งได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายทั้งต่อร่างกายและจิตใจ แม้ว่าพ่อแม่จะไม่สามารถจัดการกับความขัดแย้งระหว่างกันได้ แต่อย่างน้อยที่สุด พ่อแม่ก็สามารถช่วยควบคุมและลดผลกระทบที่ลูกอาจได้รับจากความไม่ลงรอยกันของผู้ปกครองด้วยการหลีกเลี่ยงการแสดงออกซึ่งความขัดแย้งกันอย่างเปิดเผยต่อหน้าลูก อย่างไรก็ตาม การช่วยให้ลูกปรับตัวในสังคมได้ดี ไม่ใช่การสร้างภาพที่สมบูรณ์แบบให้แก่ลูก แต่เป็นการสอนให้เด็กรู้จักการควบคุมอารมณ์(Teaching children how to control their emotions) และการแก้ปัญหาด้วยเหตุผล (The solution reasons) เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของครอบครัว ดังนั้น พ่อแม่ควรแสดงให้เด็กเห็นว่าการขัดแย้งระหว่างบุคคลไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องมีขอบเขต โดยทุกครั้งที่ทะเลาะกัน พ่อแม่ควรตระหนักอยู่เสมอว่า ลูกคือคนสำคัญที่สุดที่พ่อแม่ต้องใส่ใจ ผู้ปกครองสามารถทะเลาะกันได้เป็นเรื่องปกติ แต่หากทะเลาะกันรุนแรงเกินไป หรือบ่อยเกินไปย่อมไม่ใช่เรื่องปกติที่ควรเกิดขึ้นในบ้าน ผู้ปกครองสามารถทำผิดพลาดได้ แต่ก็ไม่ใช่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือหากจะโกรธกัน ก็ไม่ควรให้ทิฐินั้นมากระทบความมั่นคงของครอบครัว ทั้งนี้ เพราะปัญหาดังกล่าวไม่ได้มีสาเหตุมาจากใครอื่น หากแต่เกิดจาก พ่อแม่ดังนั้นถ้าพ่อและแม่รักและหวังดีกับลูกจริง พ่อแม่ต้องปรับปรุงตนเอง รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน โดยตระหนักเสมอว่าทุกคำพูดหรือการกระทำที่พ่อแม่แสดงต่อกันต่อหน้าลูก ก็คือการแสดงต่อลูกเช่นกัน อีกทั้งการดึงลูกเข้ามามีส่วนร่วมในปัญหาด้วย ย่อมไม่ต่างจากการทำร้ายลูกทางตรงแต่อย่างใดเด็กที่มี
2.ความสำคัญของปัญหาทะเลาะวิวาท( importance of problem)
เด็กที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ผู้ปกครองขัดแย้งกันบ่อยครั้ง อาจไม่มีวันลบความทรงจำที่ผู้เป็นพ่อและแม่ทะเลาะกันออกไปได้ อีกทั้งภาพของช่วงเวลาเหล่านั้น ก็ยังสามารถทำให้เด็กรู้สึกบอบช้ำทางจิตใจ(wound)ไปได้ตลอดชีวิตเช่นกัน การใช้ความรุนแรงในครอบครัวเปรียบเสมือนแผลเป็นซึ่งจะติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเด็ก โดยเด็กที่ใช้ชีวิตประจำวันอยู่กับความรุนแรง มีโอกาสประสบปัญหาหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การไม่มีสมาธิในการทำกิจกรรม(no concentration in the event) ปัสสาวะรดที่นอน(Urinated on the bed) อาการปวดท้องกำเริบบ่อยๆ(A stomachache recurrent frequently) ไปจนถึงความบกพร่องทางการเรียนรู้(Learning Disabilities) นอกจากนี้เด็กยังต้องทุกข์ทรมานกับระดับความเครียดที่สูงอีกด้วย(Suffering with stress levels) พ่อแม่ที่เอาแต่ทะเลาะกันย่อมชักนำลูกให้เป็นอย่างที่ตนเป็นได้โดยไม่ต้องสอน ทั้งนี้เพราะการเห็นภาพเดิมๆ ซ้ำกันทุกวันก็เพียงพอให้ลูกสามารถซึมซับและปฏิบัติตามตัวอย่างได้ไม่ยากเย็นนัก เด็กจะโตขึ้นมาพร้อมกับทัศนคติที่ว่าการทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติธรรมดา หรืออาจทราบดีว่าการทะเลาะกันเป็นความไม่ปกติ แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขนิสัยที่ถูกปลูกฝังมาตลอดได้ เด็กจึงหันไปเป็นอันธพาล ทั้งนี้เพราะเกิดจากความต้องการที่อยากจะควบคุมทุกอย่างได้ด้วยตนเอง ในทางกลับกัน เด็กอาจกลายเป็นคนเฉื่อยชาไปโดยสิ้นเชิง โดยจะดึงตัวเองออกจากความขัดแย้งทุกรูปแบบ เนื่องจากต้องการความสงบสุขซึ่งไม่ได้รับจากพ่อแม่เมื่ออยู่ที่บ้านนอกจากนี้เด็กยังมีปัญหาในการเรียนรู้หลักความประพฤติที่ถูกต้องเพราะขาดตัวอย่างที่เหมาะสม การเห็นภาพความรุนแรงตลอดช่วงชีวิตยังอาจส่งผลให้เด็กกลัวและหลีกเลี่ยงการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น(Avoid creating relationships with others) ซึ่งรวมไปถึงการแต่งงาน(married) เนื่องจากเกรงว่าจะพบปัญหาลักษณะเดียวกับผู้ปกครอง อย่างไรก็ตาม ไม่น่าแปลกใจนักที่โดยทั่วไปแล้ว เด็กที่มีประสบการณ์พ่อแม่ทะเลาะกัน เมื่อแต่งงานไปแล้วก็มักจะมีชีวิตคู่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งเช่นเดียวกับพ่อแม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้น พ่อแม่ควรตระหนักว่าทุกคำพูดและทุกการกระทำของตนมีอิทธิพลต่อลูกไม่มากก็น้อย และไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตของเด็กในระยะยาว หรือทำให้เด็กมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ไปตลอด และที่สำคัญที่สุดคือ มีเพียง พ่อกับ แม่เท่านั้นที่สามารถเป็นได้ทั้งผู้เริ่ม และผู้แก้ไขปัญหานี้ได้ในเวลาเดียวกันพ่อแม่
3.ปัญหาหลักของความขัดแย้ง(Main problem)
ปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างพ่อและแม่สามารถเป็นตัวกำหนดอนาคตของลูกได้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงระดับความรุนแรงของปัญหา หรือสถานะของผู้ปกครอง ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ด้วยกันหรือแยกทางกัน ผลกระทบและความเจ็บปวดทั้งหมดล้วนตกไปอยู่ที่เด็ก โดยเด็กที่พ่อแม่ทะเลาะกันมักมีลักษณะที่เป็นปัญหาดังต่อไปนี้ เด็กแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือไม่พึงประสงค์ เช่น ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้(Not be able to control the mood of their own) ก้าวร้าว(aggressive) ชอบใช้กำลัง(violent) เกเร(rascal) หรือมั่วสุมกับเพื่อน เด็กมีระดับความเครียดสูง เด็กที่เป็นทุกข์จากปัญหาความขัดแย้งของผู้ปกครองมักมีฮอร์โมนความเครียด (Stress hormone) ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบด้านลบต่อเด็ก เช่น เด็กที่มีความเครียดจะมีข้อจำกัดในการรับมือกับปัญหาในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียน อีกทั้งเด็กอาจพบปัญหาความยากลำบากในการประสบความสำเร็จตามขั้นพัฒนาการ (Developmental task) เช่น ประสบปัญหาในการพัฒนาเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของตนเองใน (Identity) ช่วงวัยรุ่น เป็นต้น เด็กรู้สึกไม่มั่นคงหรือปลอดภัยแม้จะอยู่ในบ้านของตัวเอง อันเกิดจากความเห็นที่ไม่ตรงกันของผู้ปกครอง หรือความขัดแย้ง(conflict)ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยที่เด็กไม่สามารถควบคุมได้(Can not control) นอกจากนี้ความรู้สึกไม่มั่นคงหรือไม่ปลอดภัย(not secure)ก็อาจทำให้เด็กมีลักษณะขาดความมั่นใจในตนเองด้วย โดยความรู้สึกในลักษณะนี้ สามารถขัดขวางพัฒนาการของเด็กตั้งแต่ในช่วงต้น และจะยิ่งส่งผลกระทบต่อเด็กมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เด็กขาดความภาคภูมิใจในตนเอง(Lack of pride in manually) โดยปกติแล้ว เด็กจำเป็นต้องเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนในครอบครัวให้ความเคารพซึ่งกันและกัน อันจะช่วยส่งเสริมความรัก รวมถึงการให้ความสำคัญและยอมรับสิทธิของตนเองและของผู้อื่น หากเด็กขาดการสนับสนุนให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง เด็กอาจรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสำคัญ และอาจหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมกับผู้อื่นหรือถอนตัวออกจากสังคม เด็กโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุของความขัดแย้งของผู้ปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าเด็ก แต่ละเลยการปลอบใจเด็กซึ่งอยู่ในเหตุการณ์และกำลังหวาดกลัว ทั้งนี้การโทษตัวเองของเด็ก อาจกระทบความสัมพันธ์ของเด็กกับบุคคลอื่น เช่น ความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือครู อีกทั้งเด็กอาจซึมซับการแสดงความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างผู้ปกครอง และสร้างเป็นนิสัยไม่เชื่อใจผู้อื่นโดยง่ายขึ้นมา ซึ่งอาจส่งผลให้เด็กมองข้ามการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จนนำไปสู่ปัญหาเด็กไม่มีเพื่อนที่อาจส่งผลต่อเสียต่อเด็กในระยะยาว เด็กขาดทักษะในการแก้ไขปัญหา การทะเลาะกันระหว่างพ่อแม่จำกัดโอกาสในการเรียนรู้การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องของเด็ก โดยเด็กไม่ได้เรียนรู้วิธีการแก้ไขความขัดแย้งด้วยความอดทนหรือความเคารพซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังซึมซับตัวอย่างจากพ่อแม่ ซึ่งทำให้เด็กกลายเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมการแก้ไขปัญหาที่ไม่เหมาะสม หรือกลายเป็นปัญหาแก่ผู้อื่นเสียเอง เด็กมีความผิดปกติทางด้านกระบวนการคิด โดยเมื่อเด็กสัมผัสกับความขัดแย้งเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน สมองจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการทำงานผิดปกติของสมอง และส่งผลให้เด็กมีความบกพร่องทางการคิด เช่น การแก้ไขปัญหา การใช้เหตุผล การจดจำ รวมไปถึงมีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Disorder)
4.สาเหตุของปัญหาทะเลาะวิวาทในครอบครัว(determinant)
1.             การเงิน (Monetary) หากครอบครัวมีปัญหาการเงิน แนวโน้มของปัญหาพ่อแม่ทะเลาะกันย่อมสูงตามไปด้วย โดยความตึงเครียดทางการเงินถือว่าสามารถก่อให้เกิดความขัดแย้งในความสัมพันธ์ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วกว่าเหตุปัจจัยอื่น
2.              รูปแบบการเลี้ยงลูกที่แตกต่างกัน (The difference of provide)หากพ่อแม่หาจุดพอดีระหว่างรูปแบบการเลี้ยงลูกที่แตกต่างกันไม่ได้ และผู้ปกครองคนหนึ่งพยายามตั้งกฎให้อีกฝ่ายปฏิบัติตาม แนวโน้มของความขัดแย้งในความสัมพันธ์ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย
3.              ความรู้สึกในด้านลบอันเกิดจากปัญหาในชีวิตการแต่งงานซึ่งไม่ได้รับการแก้ไข (The feeling in the negative side of the issue in the life of a marriage which is not resolve)โดยหากผู้ปกครองเก็บปัญหาและความรู้สึกเหล่านั้นไว้ และยังคงปฏิบัติต่อกันเช่นเดิมต่อไป ความขัดแย้งที่ซ่อนอยู่ภายในก็อาจปะทุออกมาจนเป็นสาเหตุของการทะเลาะกันได้
4.             การพยายามตัดสินว่าใครเป็นผู้ปกครองที่ดีกว่า(Trying to determine who is a guardian) ซึ่งเปิดโอกาสให้พ่อแม่เริ่มเปรียบเทียบกัน หรือจับผิดข้อเสียของอีกฝ่าย โดยอาจมีสาเหตุขมาจากความไม่พอใจอีกฝ่ายในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
5.             การพยายามควบคุมอีกฝ่าย (trying to control) พ่อแม่บางคนยึดตนเองเป็นหลักเพราะเชื่อมั่นว่าความคิดของตนดีที่สุด นอกจากนี้บางคนอาจจำเป็นต้องได้รับการรายงานทุกความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ในขณะที่ฝ่ายที่ถูกบังคับก็มักรู้สึกอายคนรอบข้าง
6.             รู้สึกอึดอัด ไม่มีค่า หรือแม้กระทั่งโกรธแค้น ซึ่งเมื่อการใช้ชีวิตร่วมกันของผู้ปกครองขาดความสมดุล(feel uncomfortable no value or even angry that when using the life of the Parents lack the balance)เช่นนี้ ปัญหาความขัดแย้งย่อมตามมา ความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
7.              การนอกใจ(To be unfaithful)  อันถือเป็นสาเหตุของความขัดแย้งที่สามารถนำมาซึ่งปัญหาการทะเลาะกันที่รุนแรงที่สุด โดยความไม่ไว้วางใจกันอาจเกิดขึ้นอย่างมีมูลเหตุหรือไม่มีมูลเหตุ ซึ่งพ่อแม่สามารถปรับความเข้าใจหรือประนีประนอมกันได้ แต่สำหรับการนอกใจนั้น อาจนำไปสู่การยุติความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งผลเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางจิตใจ ย่อมตกไปอยู่ที่ฝ่ายถูกกระทำ รวมถึงลูกด้วย
ลักษณะของพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงในครอบครัว (domestic violence)
1.ความก้าวร้าวทางวาจา (Verbal aggression)
-  ดูถูกเหยียดหยาม (contempt)
ตะโกนใส่ (shouts) 
ตั้งฉายา(alias)
โดยมีสาเหตุมาจาก(determinant) 
การต้องการควบคุมผู้อื่น (control others) 
การต้องการแสดงพลังความเป็นชาย(demonstrate the power of masculinity.)
อิจฉาริษยาคู่ของตน (Heartburn their partners)
คู่สมรสไม่ปรองดองกัน (Heartburn their partners)
 2. ความก้าวร้าวต่อร่างกาย(Aggressive)  
-  ผลัก (push)
ตบตี(quarrel)
โดยมีสาเหตุมาจาก(determinant)
 -  การยอมรับและนำเอาการควบคุม โดยวิธีการที่รุนแรงมาใช้ (confess)
เลียนแบบการแสดงความก้าวร้าวรุนแรงต่อร่างกาย(Imitate performance)
ถูกกระทำทารุณกรรมตั้งแต่เด็ก(torture)
- มีบุคลิกภาพที่นิยมความก้าวร้าว (offensive)
- ติดสุรา(alcoholic)
3. ความก้าวร้าวขั้นรุนแรงที่รุนแรงถึงฆาตกรรม (to be aggressive)
 -  ทุบตี(quarrel) 
เตะต่อย (quarrel)
ทุบตีด้วยวัตถุ (quarrel) หรืออาวุธ(weapon)
โดยมีสาเหตุมาจาก(determinant) 
การมีบุคลิกภาพแปรปรวน(personality)
เก็บอารมณ์ไม่อยู่ (Can not keep Emotions)
มีความยกย่องนับถือตนเองต่ำ(low esteem)
ผู้ชายที่เข้าข่ายมีพฤติกรรมรุนแรงคือบุคคลดังต่อไปนี้(The man in the client has a violent behavior)
1.             บิดามารดาทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เสมอ (Parents always quarrel)
2.              เป็นบุคคลที่ไม่มีเหตุผล(The person is unreasonable)  ไม่รับฟังความคิดเห็น (No comments)  ยึดตนเองเป็นใหญ่  ไม่ยอมรับผิด(Not guilty) และชอบกล่าวโทษผู้อื่น (blaming others)          
3.             เป็นบุคคลที่ไม่เคยยอมรับนับถือผู้หญิง(The person is not always respected women)  ไม่เคยรู้สึกว่าผู้หญิงเป็นมนุษย์คนหนึ่ง  ไม่ให้เกียรติ (No respect)  พูดดูถูกผู้หญิง (Belittle women)  และมีความเชื่อว่าผู้หญิงเป็นเครื่องสนองตอบทางเพศ  และใช้กำลังบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ รวมถึงใช้ความรุนแรงเมื่อมีเพศสัมพันธ์(sexual violence)
4.             เป็นบุคคลที่ไม่ยอมรับนับถือตัวเอง(Not respect yourself)   รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอำนาจ   และไม่สามารถจัดการกับปัญหาชีวิต  ทั้งที่ภาพลักษณ์ภายนอกนั้นเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จ           
5.             เป็นบุคคลที่ชอบคุยโว โอ้อวดว่าเก่ง  รวย  ชอบบังคับ  ควบคุม  ออกคำสั่ง(boast),(strain),(control)                  
6.             เป็นบุคคลที่มักโทษว่าความก้าวร้าวรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากความเครียด และความกดดันบีบคั้นที่รุนแรงจากชีวิตคู่  จากสุรา  สารเสพติด  ฯลฯ (spirits),( addictive substance)
7.             มีพฤติกรรมบางอย่างที่มีสัญญาณเตือนว่าเป็นคนที่หวาดระแวง  แสดงความเป็นเจ้าของผู้อื่น  หึงหวง  ไม่ให้แฟนหรือภรรยาคบหากับผู้อื่น (behavior suspicious )             
8.             เป็นคนใจร้อน  โกรธง่าย  ทำร้ายผู้อื่น  ชอบทารุณกรรมสัตว์ (hothead),( Hurt others)
5.ผลกระทบของความรุนแรงต่อครอบครัว(Effect of violet to family)
สัมพันธภาพอันดีของมนุษย์เกิดจากสถาบันพื้นฐานของสังคม คือครอบครัว(family)ปัจจุบันทุกๆ จุดของสังคมมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงเป็นแนวทางแก้ปัญหา ตั้งแต่ระดับนักการเมือง(politician)จนถึงชาวบ้าน(villager) เรียกได้ว่า แทบไม่มีความปราณีต่อแก่กัน ประหนึ่งชีวิตของผู้อื่นไม่มีค่าความรุนแรงในสังคมที่เราเห็น เป็นเพราะความเครียดซึ่งมีสาเหตุหลายประการ เช่นความเครียดจากภายในครอบครัว(The stress from within the family) จากการงาน(The stress from within the work)  จราจร(The stress from within the traffic) มลพิษ(The stress from within the pollution) ที่เราต้องทนอยู่ สิ่งแวดล้อมอันเลวร้าย(Bad environment) สภาวะเศรษฐกิจ(economy) ความเครียดเหล่านี้ย่อมทำให้เราหมดความอดทนอดกลั้นพร้อมที่จะแสดงปฏิกิริยาปะทะที่รุนแรง          
อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาแรงนี้จะเกิดขึ้นได้ชั่วขณะ เมื่อผ่านพ้นไปแล้วทุกคนต่างไม่ประสงค์ที่จะใช้ความรุนแรง อีกด้วยรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกขายหน้า ถ้าได้รับฟังคำพูดที่กระตุ้นเตือนคุณธรรมที่มีอยู่ในใจ ก็จะเกิดความเมตตากรุณาขึ้นมาในใจ แต่ความรุนแรงกลุ่มหนึ่งซึ่งน่ากลัว เป็นอภัยต่อสังคม เป็นอันตรายต่อชีวิต คือความรุนแรงต่อครอบครัว ซึ่งที่เกิดบ่อยๆ คือ การลงโทษลูกด้วยความรุนแรง ใช้วิธีข่มขู่ด้วยอารมณ์ การกล่าววาจาที่รุนแรง เหน็บแนม ให้ได้อายและความขัดแย้งกันระหว่างพ่อ แม่ หรือระหว่างสมาชิกอื่นที่เป็นผู้ใหญ่ในครอบครัว ทำให้เด็กแลเห็นตัวอย่างของการตัดสินปัญหาด้วยความรุนแรงเข้าไว้เป็นประสบการณ์ และนำมาใช้ในวิถีชีวิตของตน ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาทางด้านจิตใจ แบ่งเป็นผลกระทบระยะสั้น และผลกระทบระยะยาว
ผลกระทบระยะสั้น(The shout-term impact) ถ้าเป็นเด็กเล็กๆ จะหงุดหงิด ไม่มีความสุข เลี้ยงยาก หวาดผวาเมื่อผู้ที่ลงโทษมาใกล้ บางรายหงอย ซึม ไม่สนใจเล่น ไม่แจ่มใส ถ้าโตขึ้นจะมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย ไม่มีความสุข โกรธนาน โกรธเพื่อน ระงับความโกรธไม่ได้ ใช้ความรุนแรงกับเพื่อน น้องหรือเลี้ยงสัตว์ หากกับเด็กโต นอกจากจะหงุดหงิดง่าย ไม่สุขสบายส่งผลให้ระบบการเรียนต่ำลง สมาธิและความสนใจลดลง เบื่อหน่าย ไม่ยากเรียน มีแนวโน้มจะขัดคำสั่งครู ไม่ยอมทำตามกฎระเบียบของโรงเรียนและสังคม
ผลกระทบระยะยาว (The long-term impact)เด็กที่ถูกเลี้ยงดูด้วยวิธีรุนแรง หรืออยู่ในบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงจะรู้สึกว่าสังคมแรกคือ สังคมในบ้านเป็นสิ่งไม่ดี และจะมีแนวโน้มแง่ร้าย นิยมความก้าวร้าวรุนแรง ดังนั้นเด็กที่ได้รับความรุนแรงอย่างมากๆ จะมีแนวโน้มที่จะต่อต้านสังคม ความรุนแรงในครอบครัวมีผลเสียต่อจิตใจ และพัฒนาการทางด้านบุคลิกภาพของเด็กซึ่งถ้าเราไม่ช่วยกันลดการใช้ความรุนแรงในครอบครัวให้หมดไป หรือลดน้อยลง ในที่สุดเราก็ได้ประชากรที่นิยมความรุนแรง การเดินถนนของเราคงจะไม่มีความปลอดภัยแล้ว และถ้าใช้ความรุนแรงกับลูกของเรา ลูกของเราก็ใช้ความรุนแรงกับหลานแหลนของเราต่อไปดังนั้นเรามาอยู่ด้วยกันด้วยความรัก ความเมตตา ลูกๆ ก็จะมีความสุข และในที่สุด สังคมประเทศชาติก็จะมีความสุขด้วย
ทำไมผู้หญิงยังคงอดทนต่อการถูกทำร้าย?( Why does the woman still be patient to be hurt?)
 เป็นคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยมากว่า ทำไมผู้หญิงยังคงอดทนอยู่ภายใต้สัมพันธภาพของความรุนแรง
คำตอบที่ได้รับคือ ผู้หญิงที่เป็นเหยื่อยังต้องดำรงชีวิตอยู่ และต้องได้รับการดูแลและช่วยเหลือ  โดยเฉพาะจากปัญหาทางเศรษฐกิจจากสามีหรือผู้ที่ทำร้ายเธอนั่นเองบางคนต้องทนเพราะลูก  ไม่มีที่ปรึกษา  พึ่งตนเองก็ไม่ได้ในขณะที่บางคนรู้สึกว่าตนเองบกพร่องต่อหน้าที่ หรือเป็นต้นเหตุที่ทำให้สามีโกรธ  เพราะถูกสอนมาว่าให้มีหน้าที่คอยปรนนิบัติ  บริการสามี  และต้องอดทนดังนั้น ผู้หญิงก็จะถือว่าการถูกกระทำรุนแรงจากสามีเป็นเรื่องปกติ  และเป็นรูปแบบหนึ่งของการสั่งสอนนั่นเอง  สิ่งสำคัญคือผู้หญิงเหล่านี้เป็นผู้ที่ขาดการยอมรับนับถือในตัวเอง  และยังคงมีความรักเต็มเปี่ยมให้กับชายผู้ทำร้ายเธอทั้งที่ความจริงไม่มีใครสนุกกับการถูกทำร้าย  และไม่มีสาเหตุอื่นใดที่ต้องอดทนอยู่กับความเจ็บปวด  ยกเว้นแต่จะมีทางออกที่ดีสำหรับชีวิตเป็นเหตุผลที่สลับซับซ้อนยากเกินกว่าจะประกาศให้ผู้อื่นล่วงรู้ถึงเหตุผลและความรู้สึกได้   เพราะผู้หญิงจะรู้สึกโดดเดี่ยว   อึดอัดใจ  อดสู  อับอาย  ผิดหวังอย่างรุนแรง  ไม่กล้าบอกใคร  กลัวถูกตำหนิว่าเป็นผู้ผิด และเป็นผู้ล้มเหลวที่ไม่สามารถทำให้ครอบครัวเป็นปกติสุขได้แต่ยังคงมีความหวังอยู่ลึก ๆ ว่า สามีจะเปลี่ยนพฤติกรรมกลายเป็นคนดีได้
อุปสรรคของการหลีกหนีความรุนแรงในครอบครัว(The barriers to escape the violence in the family)
เหตุผลหลัก 3 ประการที่ผู้หญิงทั่วไปยังคงตกอยู่ในวังวนเหล่านี้
1.             การขาดแคลนทรัพยากรหรือปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต(Lack of resources or factors that need to life)
2.             ผู้หญิงส่วนมากจะมีลูกอย่างน้อยหนึ่งคน (many women have at least one child)        
3.             ผู้หญิงจำนวนมากไม่ได้ประกอบอาชีพนอกบ้าน(many women are not working out sides)           
4.             ผู้หญิงส่วนมากไม่มีสิทธิครอบครองทรัพย์สินเพียงลำพัง(the most people are not entitled to possession of the property alone)        
5.             ผู้หญิงบางคนไม่มีเงินสดหรือเงินในบัญชีหมุนเวียนเพียงพอ (some women do not have cash or money in the revolving enough.)           
6.             ผู้หญิงไม่กล้าทิ้งครอบครัวที่ต้องดูแลไปเพราะนั่นหมายถึงต้องสูญเสียลูกไปด้วย(women durst not leave the family that must be because it means that need to be lost)             
7.             ผู้หญิงพร้อมจะเผชิญหน้ากับมาตรฐานการมีชีวิตอยู่ที่ลดลงของตนเอง และลูก(women are ready to face the standard of living in the reduction of yourself and child)
สิ่งที่ปฏิบัติกันสืบทอดกันมา (The practice legendary.)
1.             ผู้หญิงส่วนมากไม่เชื่อว่าการหย่าร้างหรือการแยกกันอยู่จะเป็นทางเลือกที่ทำให้สามารถ มีชีวิตอยู่ต่อไปได้  (Do not believe)
2.             ผู้หญิงส่วนมากเชื่อว่าครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่เพียงคนเดียวเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยาก ถึงแม้ว่า จะมีพ่อที่ก้าวร้าวหรือรุนแรงก็ยังดีกว่าไม่มีพ่อเลย (believed that a family of the father or mother the only one is acceptable)
3.             ผู้หญิงส่วนมากเชื่อว่าสามารถรับผิดชอบชีวิตการแต่งงานได้  ความล้มเหลวของชีวิตการแต่งงานจะทำให้ชีวิตของผู้หญิงล้มเหลวไปด้วย  (believed that it can be responsible for the life of a married)
4.             ผู้หญิงส่วนมากกลายเป็นคนโดดเดี่ยว  ห่างไกลจากเพื่อนฝูงและครอบครัว หรือกลายเป็นคนที่มีความอิจฉาริษยาหึงหวงและอยากเป็นเจ้าของที่รุนแรง  หรือหลบหนีจากโลกภายนอก  ความโดดเดี่ยวที่มีอยู่ทำให้ความรู้สึกต่อทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป(become alone)
5.             ผู้หญิงส่วนมากจะอธิบายด้วยหลักและเหตุผลว่าพฤติกรรมความรุนแรงเกิดจากการถูกบีบคั้นหรือความกดดัน จากแอลกฮอลล์ จากปัญหาการทำงาน  การถูกเลิกจ้างงานหรือปัจจัยอื่นๆ (describe with Reasons)  
6.             ผู้หญิงส่วนมากจะถูกสอนว่าการรักษาชีวิตคู่ไว้คือสิ่งที่มีค่า แม้ว่าการทารุณกรรม ทำให้ผู้หญิงเหนื่อยล้าตลอดเวลา  แต่ระหว่างที่ไม่มีสภาวะของความรุนแรง  ผู้ชายจะทำให้ผู้หญิงใฝ่ฝันถึงชีวิตรักที่โรแมนติค  และทำให้เชื่อว่าจริง ๆ แล้วพื้นฐาน  ผู้ชายคนนี้เป็นคนดี และถ้าเชื่อเช่นนี้ก็จะสำนึกตลอดเวลาว่าเขาเป็นคนดี  และความเชื่อนี้จะยังคงอยู่ต่อไป  โดยจะอธิบายด้วยหลักและเหตุผลที่ดีถึงความรุนแรงที่เธอได้รับ  จนกระทั่งมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นที่เกิดจากการกระทำของผู้ชายความอดทนต่อความรุนแรงที่อยู่เหนือเหตุผล(be taught that they had been is something of value)
7.             ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่อยากตกอยู่สภาพที่ตนเองถูกกระทำรุนแรงซ้ำซาก  โดยที่ตนเองไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้อะไรเลย  ทุกคนอยากหาทางออกและยุติความรุนแรงให้เร็วที่สุด  เพียงแต่ใครจะหาทางออกให้กับชีวิตตัวเองได้เร็วแค่ไหนเท่านั้นเององค์ประกอบที่เป็นอุปสรรคของผู้หญิงมีมากมาย  ไม่ว่าการต้องพึ่งพิงเรื่องเงินทองจากสามี  สรีระร่างกายที่บอบบางกว่าทำให้ขยาดสามีไม่กล้าต่อสู้ด้วย  ก็เลยเข้าสู่ภาวะจำยอมให้ต้องทนต่อไป ด้วยปัจจัยและเหตุผลนานัปการ(most women do not want to fall into the condition of the action has been violence monotonous)
อุปสรรคที่ขวางกั้นและเกี่ยวเนื่องกัน
1.            ความรัก (Lover)
"ก็รักเขานะ  เขาก็ดี  แต่หากเหล้าเข้าปากเมื่อไร ก็เป็นอย่างนี้แหละ  จะห้ามเขากินก็ไม่สำเร็จ"
2.             อารมณ์ที่ผูกพัน และการต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Emotional Engagement)
"ก็อยู่กันมานาน  ฉันก็ไม่มีบ้าน  ไม่มีใครอื่น  ไม่มีที่ไป" "เขาเป็นพ่อที่ดี  รักลูก  รับผิดชอบเรื่องเงินทองก็ดูแลเอาใจใส่ดี"
3.             ค่านิยมกับสถาบันครอบครัวและความคาดหวังของสังคมต่อการอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา(values with the institution of the family)
"พยายามทนเอา  เห็นแก่ลูก  กลัวว่าถ้าแยกทางกันลูกจะขาดความอบอุ่น" "ฉันไม่ใช่คนที่ชอบระบาย  มีปัญหาก็เก็บไว้กับตัว  ยิ่งเป็นปัญหากับสามีก็ยิ่งไม่อยากให้ใครรู้  พ่อแม่ก็ไม่ได้บอก  ถึงจะเล่าให้ฟัง เขาก็ต้องบอกให้ทนอยู่ดี  เพราะอยากแต่งอยู่กินกับเขาเอง" "เคยไปแจ้งตำรวจ แต่เขาบอกว่าผัวเมียกันก็เหมือนลิ้นกับฟัน ให้อดทนเอา ยอม ๆ เขาบ้าง คู่อื่นก็มีปัญหาเหมือนกัน"
4.              สิ่งที่ตอกย้ำความรู้สึกว่าตัวเองผิด ความรู้สึกว่าตนเองเป็นสาเหตุของความรุนแรง(the feeling that you are the cause of the violence)
"พยายามคิดเหมือนกันว่า เราไปทำอะไรให้เขาโมโห  ที่เขาหันมาชกเรา ก็คงเป็นเพราะเราไปต่อว่าเขาต่อหน้าคนอื่น"ฉันหมดปัญญา  แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย ก็น่าที่เขาจะโมโหเอากับฉัน"
5.             อุปสรรคคือความกลัว ซึ่งเกิดขึ้นเกือบทุกกรณี (The obstacles is the fear)
"เคยคิดจะฆ่าเขา  แต่ก็กลัว  กลัวจะฆ่าเขาแล้วเกิดเขาไม่ตาย  เขาจะมาทำร้ายเราอีก"
6.กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงในครอบครัว (The laws relating to the violence in the family)
รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการจัดสวัสดิการทางสังคม(social welfare)และการคุ้มครองสวัสดิภาพแก่ประชาชน(the protect the safety of the people) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 40  ได้กำหนดให้เด็กเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการหรือทุพลภาพ มีสิทธิได้รับความคุ้มครองในการดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีอย่างเหมาะ และมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในคดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศและมาตรา 52 วรรคสอง กำหนดให้เด็ก เยาวชน สตรีและบุคคลในครอบครัวมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากรัฐ ให้ปราศจากการใช้ความรุนแรงและการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรม รวมทั้งมีสิทธิได้รับการบำบัดฟื้นฟูในกรณีที่มีเหตุดังกล่าวและให้ความสำคัญกับกระบวนการในการจัดทำรายงานการอนุวัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ (Convention on theElimination of All Forms of Discrimination against Women- CEDAW) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนางานในการส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชายและขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีข้อมูลของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล พบว่า ผู้ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่มาขอปรึกษามูลนิธิฯ ปี 2553 มี 914 ราย มากกว่าปี 2552 ที่มี 668 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 31-40ปี หากจำแนกการให้คำปรึกษา พบว่าผู้ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวร้อยละ 40 ต้องเข้าพบนักสังคมสงเคราะห์ แบ่งตามการพิจารณาคดี พบว่า ร้อยละ 39 เป็นคดีแพ่ง และร้อยละ 21 เป็นคดีอาญา ความรุนแรงที่พบมากคือ การข่มขู่ ท าร้ายร่างกาย ที่น่าห่วงคือ สถานการณ์การตั้งครรภ์ไม่พร้อมที่ยังคงเพิ่มมากขึ้นกว่าร้อยละ 9 โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากสามีไม่รับผิดชอบจากการรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินคดี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวพ.ศ. 2550 มีเพียง 74 รายที่ถูกแจ้งดำเนินคดี ในจำนวนนี้มีจำนวนคดีร้อยละ 15 ที่พนักงานสอบสวน
7.หน่วยงานที่มีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาครอบครัว(An organization that help to solve the problem of Family)
1.             องค์การสหประชาชาติ (United Nations)
2.             กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (Ministry of Social Development and Human Security)
3.             สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (Office of Women's Affairs and Family Development)
4.             สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  มหาวิทยาลัยมหิดล (Office of the National Economics and Social Development Board MU)
5.             ศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน (The family development center in the community)


8.แนวทางในการป้องกันและแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว(The guidelines in the prevention and resolution of violence in the family)
สำหรับแนวทางในการป้องกันและแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวนั้น หากจะป้องกันปัญหาความรุนแรงจากครอบครัว
1.             ควรเริ่มจากการให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว(should start from the knowledge that right about the family) ให้สามารถอบรมเลี้ยงดูลูกผู้ชายและลูกผู้หญิงให้ได้รับความเสมอภาค
2.              ปรับเปลี่ยนทัศนคติโดยไม่ให้มองว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเรื่องส่วนตัว (Change the attitude, not to look at what the problem of violence in the family of a private)
3.             การทำให้ทุกภาคส่วนในสังคมควรมีส่วนร่วมในการป้องกันปัญหา (every sector in society should be involved in the prevention of problems)รวมทั้งให้สื่อมวลชนช่วยรณรงค์การป้องกันปัญหา โดยเสนอข่าวที่เป็นกลางและชักชวนให้คนในสังคมตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ก็จะช่วยแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้
4.             การปรับเปลี่ยนเจตคติ ทัศนคติดั้งเดิม และค่านิยม(to modify the attitude a positive attitude toward traditional values and) เป็นข้อท้าทายซึ่งต้องอาศัยเวลาและต้องกระทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยจึงได้ให้ความสำคัญในการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก และสตรี
5.             สร้างความตระหนักว่าประเด็นความรุนแรงในครอบครัวเป็นประเด็นสาธารณะ( Create awareness that the issue of violence in the family is the Public Issues )โดยเสริมสร้างทัศนคติให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าวว่าไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลรวมทั้งให้ความร่วมมือดูแลและแจ้งเมื่อพบเห็น



สรุป (Conclusion)
ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวยังคงมีอยู่เรื่อยมา ซึ่งมาจากความเชื่อของสังคมแต่ดั้งเดิมเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงกับชาย เป็นปัญหาทางสังคมที่คุกคามต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นการใช้อำนาจและกำลังขู่เข็ญ ก้าวร้าว ทำร้าย ต่อบุคคลอื่น มีความผิดทั้งทางศีลธรรม มนุษยธรรมกฎหมาย ขัดเละละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนสิทธิผู้หญิงและเด็ก ซึ่งต่างมีความเสมอภาคทัดเทียมกัน จากปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่กล่าวมาทั้งหมด พบว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวส่วนใหญ่เป็นปัญหาความรุนแรงที่สามีกระทำต่อภรรยา โดความรุนแรงนั้นจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ซึ่งความรุนแรงนี้อาจมาจาก ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม วัฒนธรรม ปัญหาด้านเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังอาจรวมถึงการดื่มของมึนเมาหรือใช้สารเสพติดร่วมด้วย ซึ่งผลกระทบที่เกิดจากความรุนแรงในครอบครัว นอกจากจะกระทบต่อการบาดเจ็บด้านร่างกายและจิตใจ ยังกระทบต่อสังคมอีกด้วย เพราะในครอบครัวที่มีปัญหาความรุนแรง สมาชิกทุกคนใครอบครัวย่อมได้รับผลกระทบนี้มากน้อยแตกต่างการไป ดังนั้นกากระรป้องกันและแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ควรเริ่มจากการให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว อบรมเลี้ยงดูลูกผู้ชายและลูกผู้หญิงให้ได้รับความเสมอภาคสร้างความเท่าเทียมระหว่างเพศให้เกิดขึ้น สมาชิกแต่ละคนควรปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทของตนให้เหมาะสม และสังคมควรปรับเปลี่ยนทัศนคติโดยไม่ให้มองว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเรื่องส่วนตัว หน่วยงานทุกภาคส่วนในสังคมควรมีส่วนร่วมในการป้องกันปัญหา รวมทั้งให้สื่อมวลชนช่วยรณรงค์การป้องกันปัญหาเหล่านี้ด้วย สำหรับแนวทางหรือรูปแบบการดูแลผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงที่มีอยู่ ส่วนใหญ่เป็นการให้บริการปรึกษาจากองค์กรอิสระหรือมูลนิธิ โดยที่หน่วยงานราชการ เช่น โรงพยาบาลจะให้บริการที่ศูนย์พึ่งได้ โดยมีพยาบาลประจำศูนย์เป็นผู้ให้บริการปรึกษา ซึ่งเน้นให้บริการผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ และการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวนั้นเกือบทุกสถานบริการจะเน้นเรื่องการดูแลให้ความปลอดภัยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้ถูกกระทำความรุนแรงให้กลับสู่ภาวะปกติจากนั้นจึงมาใช้หลักการปรับความเชื่อและทัศนคติของผู้ที่ถูกกระทำรุนแรงใหม่ โดยเน้นความเท่าเทียมระหว่างเพศ เสริมสร้างความเชื่อมมั่นในการเผชิญปัญหาและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น ให้ทางเลือกและโอกาสในการตัดสินใจ ให้กำลังใจและช่วยแนะนำแหล่งช่วยเหลือ ให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข ซึ่งถือเป็นหลักการที่ดีในทางตรงข้ามการบำบัดหรือการให้การช่วยเหลือผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว พบว่ารูปแบบการช่วยเหลือผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวนั้นยังมีค่อนข้างน้อย มีเพียงการให้บริการทางโทรศัพท์และการบำบัดสำหรับผู้กระทำรุนแรงที่กระทำ าผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 เป็นส่วนใหญ่ซึ่งอาจเป็นเพราะผู้ที่กระทำรุนแรงในครอบครัวส่วนใหญ่ ไม่เห็นว่าพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นปัญหาที่ควรได้รับการบำบัดหรือปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น ซึ่งหากภาครัฐหรือหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องมองประเด็นนี้เพิ่มเติม อาจหาแนวทางในการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยเน้นที่ผู้กระทำรุนแรงโดยตรง ซึ่งสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวทางสังคมไทย ยังไม่มีการเปิดเผยเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทำให้รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขาดข้อมูลที่จะใช้ในการวางแผน ป้องกันและลดอุบัติการณ์การเกิดความรุนแรงในครอบครัวหรือป้องกันการเกิดการกระทำผิดซ้ำ ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อค้นพบที่เกี่ยวกับปัญหาการกระทำความรุนแรงในครอบครัว พบว่าข้อค้นพบส่วนใหญ่ ล้วนมาจากการศึกษาจากผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง และศึกษาจากหน่วยงานต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยพบว่าข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้ทีกระทำรุนแรงในครอบครัวยังมีไม่มากนัก ทั้งยังเป็นปัญหาที่เรื้อรังที่ยังได้รับการแก้ไขน้อย ดังนั้นทำความเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความคิด ทัศนคติ พฤติกรรม หรือสาเหตุที่ทำให้ต้องกระทำรุนแรงกับคนใครอบครัวจากผู้กระทำรุนแรงโดยตรง น่าจะอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดได้ และนำข้อเท็จจริงที่ได้จากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มาสู่แนวทางในการลดปัญหาหรือแก้การปัญหาการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
บทที่ 3
ขั้นตอนการดำเนินการศึกษา
ในการศึกษา ปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว คณะผู้จัดทำได้มีวิธีการดำเนินการศึกษาการ เรื่อง ปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว ตามขั้นตอนดังนี้
1.วัสดุ อุปกรณ์และโปรแกรมที่ใช้งาน
        1. คอมพิวเตอร์
        2. โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ต
        3. สมุด
       4. กระดาษ
       5. ปากกา
       6. อินเทอร์เน็ต
       7. หนังสือที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเรื่อง ปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว
2.วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า
1. คิดหัวข้อที่สนใจเพื่อนำเสนอครูที่ปรึกษาค้นคว้า
2. ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจ คือ เรื่องปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว ว่าเนื้อหามากน้อยเพียงใด  และต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพียงใดจากเว็บไซต์ต่างๆและเก็บข้อมูลไว้เพื่อจัดทำเนื้อหาต่อไป
3. ทบทวนเรื่องที่ศึกษาจากการเรียน IS1 (การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้) เรื่อง ปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว
4. จัดทำโครงร่างการเขียนรายงานทางวิชาการ
5. จัดทำโครงร่างเพื่อเสนอต่อครูที่ปรึกษา
6. ศึกษาวิธีการจัดทำรางานทางวิชาการรูปเล่ม
7. นำเสนอความก้าวหน้าเป็นระยะๆตามระยะเวลาที่ครูที่ปรึกษาค้นคว้ากำหนดเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้า
8. ศึกษาวิธีการเขียนอ้างอิงและบรรณานุกรม
9. จัดทำร่างรายงานทางวิชาการและเป็นรูปเล่ม
10. ตรวจสอบความถูกต้องของร่างรายงานทางวิชาการ
11. นำเสนอร่างรายงานทางวิชาการเป็นรูปเล่มต่อครูที่ปรึกษาค้นคว้าเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
12. จัดทำรางานเป็นรูปเล่มฉบับสมบูรณ์
13.จัดทำป้ายรณรงค์ นำเสนอต่อนักเรียนภายในโรงเรียน
14. เผยแพร่ผลงานสู่สาธารณชนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น social media online (block)

บทที่ 4
ผลการดำเนินการศึกษา
การศึกษา เรื่อง ปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว คณะผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูล
มีวัตถุประสงค์เพื่อได้ศึกษาความเป็นมาและสาเหตุหลักของปัญหาการทะเลาะวิวาท ความสำคัญของปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัวและสภาพปัญหาของการทะเลาะวิวาท เพื่อให้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ตลอดจนเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชนและผู้สนใจทั่วไป ซึ่งมีผลการดำเนินการศึกษา ดังนี้
ผลการศึกษา
      จากการได้ศึกษาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว
คณะผู้จัดทำได้เริ่มดำเนินการศึกษาตามขั้นตอนการศึกษาที่เสนอในบทที่ 3 แล้วและได้รับความรู้เรื่องปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว จากเว็บไซต์ต่างๆ ดังนี้ ความรุนแรง  เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งต่อร่างกายและจิตใจของผู้ถูกกระทำ และคนที่อยู่รอบข้าง  ดังที่มีตัวอย่างให้พบเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ทุกวัน เช่น กรณีพ่อทุบตีแม่  เด็กก็อาจจะถูกทุบตีไปด้วย เด็กที่ถูกทุบตี ทำร้าย หรือได้เห็นความรุนแรงเสมอ ๆ จะฝังใจเรื่องความรุนแรง  เด็กจะเข้าใจผิดว่า  ปัญหาแก้ไขได้ด้วยความรุนแรง  ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ปัญหาทุกปัญหาควรแก้ไขด้วยเหตุผลการพูดจาทำความเข้าใจ  นอกจากนี้ การอยู่ในภาวะแวดล้อมที่มีความรุนแรงเด็กจะซึมซับเลียนแบบพฤติกรรมรุนแรงโดยไม่รู้ตัว  เด็กจะกระทำความรุนแรงต่อเพื่อน  และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะกระทำรุนแรงต่อครอบครัวตนเอง  ต่อสัตว์เลี้ยงของตนเอง ปัญหาพ่อแม่ทะเลาะกัน  หมายถึง ปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างพ่อกับแม่ มีขอบเขตตั้งแต่การโต้เถียงกันด้วยคำสบประมาท การทะเลาะเบาะแว้ง ไปจนถึงการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งหมายถึง เหตุการณ์อันเกิดจากพฤติกรรมการข่มขู่ ก้าวร้าว และทารุณระหว่างพ่อแม่หรือสมาชิกในครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความหมายดังกล่าวไม่ได้รวมถึงความเสียหายข้างเคียงที่บ่อนทำลายเด็กซึ่งได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายทั้งต่อร่างกายและจิตใจ แม้ว่าพ่อแม่จะไม่สามารถจัดการกับความขัดแย้งระหว่างกันได้ แต่อย่างน้อยที่สุด พ่อแม่ก็สามารถช่วยควบคุมและลดผลกระทบที่ลูกอาจได้รับจากความไม่ลงรอยกันของผู้ปกครองด้วยการหลีกเลี่ยงการแสดงออกซึ่งความขัดแย้งกันอย่างเปิดเผยต่อหน้าลูก อย่างไรก็ตาม การช่วยให้ลูกปรับตัวในสังคมได้ดี ไม่ใช่การสร้างภาพที่สมบูรณ์แบบให้แก่ลูก แต่เป็นการสอนให้เด็กรู้จักการควบคุมอารมณ์และการแก้ปัญหาด้วยเหตุผล เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของครอบครัว ดังนั้น พ่อแม่ควรแสดงให้เด็กเห็นว่าการขัดแย้งระหว่างบุคคลไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องมีขอบเขต โดยทุกครั้งที่ทะเลาะกัน พ่อแม่ควรตระหนักอยู่เสมอว่า ลูกคือคนสำคัญที่สุดที่พ่อแม่ต้องใส่ใจ ผู้ปกครองสามารถทะเลาะกันได้เป็นเรื่องปกติ แต่หากทะเลาะกันรุนแรงเกินไป หรือบ่อยเกินไปย่อมไม่ใช่เรื่องปกติที่ควรเกิดขึ้นในบ้าน ผู้ปกครองสามารถทำผิดพลาดได้ แต่ก็ไม่ใช่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือหากจะโกรธกัน ก็ไม่ควรให้ทิฐินั้นมากระทบความมั่นคงของครอบครัว ทั้งนี้ เพราะปัญหาดังกล่าวไม่ได้มีสาเหตุมาจากใครอื่น หากแต่เกิดจาก พ่อแม่ดังนั้นถ้าพ่อและแม่รักและหวังดีกับลูกจริง พ่อแม่ต้องปรับปรุงตนเอง รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน โดยตระหนักเสมอว่าทุกคำพูดหรือการกระทำที่พ่อแม่แสดงต่อกันต่อหน้าลูก ก็คือการแสดงต่อลูกเช่นกัน อีกทั้งการดึงลูกเข้ามามีส่วนร่วมในปัญหาด้วย
บทที่ 5
สรุปผลการดำเนินการศึกษาและข้อเสนอแนะ
การศึกษาเรื่อง ปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว สามารถสรุปผลการดำเนินการศึกษาและข้อเสนอแนะ ได้ดังนี้
1.การดำเนินการศึกษา
1.1 วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า
1.              เพื่อศึกษาต้นเหตุของการทะเลาะวิวาทในครอบครัว
2.              เพื่อหาวิธีแก้ไขที่ถูกต้องและตรงจุด
3.              เพื่อลดปัญหาทะเลาะวิวาทในครอบครัว
1.2 วัสดุ อุปกรณ์และโปรแกรมที่ใช้งาน
       1. คอมพิวเตอร์
        2. โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ต
        3. สมุด
       4. กระดาษ
       5. ปากกา
       6. อินเทอร์เน็ต
       7. หนังสือที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเรื่อง ปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว
2.สรุปผลการดำเนินการศึกษา
       การศึกษา เรื่อง ปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว ในรายวิชา การศึกษาและสร้างองค์ความรู้(IS1)
และได้รวบรวมข้อมูลและพร้อมนำเสนอในรายวิชา การสื่อสารและการนำเสนอ (IS2)
คณะผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูล
มีวัตถุประสงค์เพื่อได้ศึกษาความเป็นมาและสาเหตุหลักของปัญหาการทะเลาะวิวาท ความสำคัญของปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัวและสภาพปัญหาของการทะเลาะวิวาท เพื่อให้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ตลอดจนเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชนและผู้สนใจทั่วไป
คณะผู้จัดทำได้เริ่มดำเนินการศึกษาตามขั้นตอนการศึกษาที่เสนอในบทที่ 3 แล้วและได้รับความรู้เกี่ยวกับเรื่องปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว เช่น ได้รู้ว่าความรุนแรงมาจากสิ่งใด ปัญหา และผลกระทบของความรุนแรง ทั้งนี้ทางคณะผู้จัดทำได้ทำป้ายรณรงค์ เรื่องปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว ที่มีความน่าสนใจด้านเนื้อหาและรูปลักษณ์ขึ้นมา
เพื่อเผยแพร่ความรู้ที่มีประโยชน์ให้กับประชาชนทั่วไปได้ศึกษานำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันและไม่ให้เกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้น
3.ข้อเสนอแนะ
ในการศึกษาเรื่อง ปัญหาการทะเลาะวิวาทในครอบครัว นั้น คณะผู้จัดทำได้ศึกษาเพื่อองค์ความรู้ให้แก่ตอนเองและผู้อื่นซึ่งสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปสนับสนุนการเรียนการสอนของการศึกษาได้เป็นอย่างดีและสามารถนำไปพัฒนาได้ในอนาคต ในการศึกษาครั้งนี้ข้อเสนอแนะดังนี้
3.1       ข้อเสนอแนะทั่วไป
1.             ควรจัดทำเป็นสื่อชนิดต่างๆที่สามารถให้ประประชาชนทั่วไปเรียนรู้ได้หลายช่องทางเพื่อเผยแพร่ความรู้ต่างๆให้แก่บุคคลทั่วไปได้ศึกษาเพื่อเป็นประโยชน์
2.             จัดทำรูปแบบให้น่าสนใจ มีเนื้อหาที่เข้าใจง่าย และรูปภาพประกอบ
3.             ควรมีการจัดทำเนื้อหาให้หลากหลาย

    3. 2 ปัญหา อุปสรรคและแนวทางในการศึกษา
1. นักเรียนไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ที่บ้าน
2. ระบบอินเทอร์เน็ตมีปัญหาบ่อยครั้ง เกิดการสะดุดทำให้สนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนไม่ต่อเนื่อง








บรรณานุกรม
1..สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว. (ออนไลน์).(n.d.) รายงานสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัว
      เว็บไซต์เข้าถึงเมื่อ 27 พฤษภาคม 2555, เข้าถึงได้จากhttp://www.violence.in.th/publicweb
2.สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (n.d.) พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว
     พ.ศ. 2550. (ออนไลน์). เข้าถึงเมื่อ 27 พฤษภาคม 2555, จากhttp://www.krisdika.go.th
3. สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว. (2553). รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านความรุนแรงของประเทศ
                     ไทยและตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว
4.กรมสุขภาพจิต. (2552). แนวทางปฏิบัติเพื่อการช่วยเหลือเด็กสตรีและบุคคลในครอบครัว.กรุงเทพฯ: กรม
     สนับสนุนบริการสุขภาพ.
5. สำนักพัฒนาระบบบริการสุขภาพ. (2549). แนวทางปฎิบัติช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระท้ารุนแรงเครือข่าย
                     ระดับจังหวัด. นนทบุรี: โรงพิมพ์พระธรรมขันต์.
6.ยงยุทธ แสนประสิทธิ์. (2553). ความรุนแรงในครอบครัวกับการป้องกันปัญหาในระดับชุมชน.วารสารวิชาการ
                     ศิลปศาสตร์ประยุกต์(มกราคม-มิถุนายน 2553): 34.
7. Dorothy Stroh Becvar & Raphael J. Becvar. (1996). Family Therapy: ASystematic Integration. Boston :
                     Allyn and Bacon.
8.สำนักงานบริการสาธารณสุข. (2553). ข้อมูลให้บริการช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระท้าความรุนแรงของศูนย์
                     พึ่งได้ ปี พ.ศ. 2553. นนทบุรี: กระทรวงสาธารณสุข.16
9.วัชรินทร์ ปัจเจกวิญญูสกุลและคณะ. (2546). รายงานการวิจัยการประเมินกระบวนการยุติธรรมในการคุ้มครอง
     สวัสดิภาพบุคคลที่ได้รับความรุนแรงในครอบครัว. นนทบุรี:สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข.
10.นสพ.ไทยรัฐ, ความรุนแรงในครอบครัว-ท้องไม่พร้อม.(ออนไลน์).เข้าถึงเมื่อ 27 พฤษภาคม 2555,เข้าถึงได้
     จากhttp://www.thairath.co.th/content/edu/205196
11.Carson BEW. (1997). Stress and coping approach to intervention with abusedwomen. Journal of Family
                     Relations 46(3): 291-297.
12.Emily F.Rothman, Alexander Butchart, Magdalena Cerdá. (2003). Interveningwith Perpetrators of Intimate
                     Partner Violence: A Global Perspective.Geneva: World Health Organization.17
13.อรอนงค์ อินทรจิตร และ นรินทร์ กรินชัย. (2542). ผู้หญิงและเด็ก: เหยื่อความรุนแรงในครอบครัว.กรุงเทพฯ:
                     สถาบันจิตวิทยาฮอทไลน์.
14.อรอนงค์ อินทรจิตร และ นรินทร์ กรินชัย. (2543). เรื่องของผู้ชายจากสายด่วนสุภาพบุรุษ.กรุงเทพฯ: สถาบัน
                     จิตวิทยาฮอทไลน์.
15. ณัฐธยาน์ กฤติพงศ์สกุล. (2548). การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและบุคลิกภาพของผู้ต้องขังที่เข้ารับการอบรม
    โครงการโปรแกรมการแก้ไขผู้กระท้าผิดที่ใช้ความรุนแรงในครอบครัวกรณีศึกษาเรือนจ้ากลางคลอง
     เปรม. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์






1 ความคิดเห็น: